Thaimicrotron.com : Home |
|
|
การใช้งานพอร์ตอนุกรม
RS232 |
|
|
|
|
|
- การสื่อสารแบบอนุกรม นับว่ามีความสำคัญ ต่อการใช้งาน ไมโครคอนโทรลเลอร์มาก
เพราะสามารถใช้แป้นพิมพ์ และจอภาพของ PC เป็น อินพุต และ เอาต์พุต ในการติดต่อ
หรือ ควบคุม ไมโครคอนโทรลเลอร์ ด้วยสัญญาณอย่างน้อย เพียง 3 เส้นเท่านั้น
คือ
- สายส่งสัญญาณ TX
- สายรับสัญญาณ RX
- และสาย GND
โดยปกติพอร์ตอนุกรม RS-232C จะสามารถต่อสายได้ยาว 50 ฟุตโดยประมาณ ขึ้นอยู่กับ
ชนิดของ สายสัญญาณ, ระยะทาง, และ ปริมาณ สัญญาณ รบกวน
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
พอร์ตอนุกรมของ PC DB9 ตัวผู้
(Male) |
พอร์ตอนุกรมของอุปกรณ์ภายนอก DB9
ตัวเมีย (Female) |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
- พอร์ตอนุกรมของ PC จะเป็นคอนเน็คเตอร์แบบ DB9 ตัวผู้ (Male)
|
|
|
- พอร์ตอนุกรม ของอุปกรณ์ภายนอก จะเป็นคอนเน็คเตอร์แบบ DB9 ตัวเมีย(FeMale)
|
|
|
|
|
|
แสดงการจัดขา ของคอนเน็กเตอร์ อนุกรมแบบ DB9 และหน้าที่การใช้งานต่างๆ |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
DB9 ตัวผู้ เมื่อมองจากด้านหลัง |
|
|
|
|
|
Pin |
Description |
Type |
|
|
|
|
|
1 |
Data Carrier Detect (DCD) |
Input |
|
2 |
Received Data (RXD) |
Input |
|
3 |
Transmitted Data (TXD) |
Output |
|
4 |
Data Terminal Ready (DTR) |
Output |
|
5 |
Signal Ground (GND) |
Input |
|
6 |
Data Set Ready (DSR) |
Input |
|
7 |
Request To Send (RTS) |
Output |
|
8 |
Clear to Send (CTS) |
Input |
|
9 |
Ring Indicator (RI) |
Input |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
การเชื่อมต่ออุปกรณ์อุกรณ์ภายนอกเข้ากับคอมพิวเตอร์ด้วยสาย DB9
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
การเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกผ่าน DB9 แบบ Null
modem |
|
การต่ออุปกรณ์ภายนอกผ่าน DB9 แบบ 3 เส้น |
|
|
|
|
|
|
|
การทำงานของขาสัญญาณ DB9 |
|
|
|
|
|
TXD เป็นขาที่ใช้ส่งข้อมูล |
|
RXD เป็นขาที่ใช้รับข้อมูล |
|
|
|
|
DTR แสดงสภาวะพอร์ตว่าเปิดใช้งาน ,DSR
ตรวจสอบว่าพอร์ต ที่ติดต่อด้วย เปิดอยู่หรือไม่ |
|
|
- เมื่อเปิดพอร์ตอนุกรม ขา DTR จะ ON เพื่อให้อุปกรณ์ได้รับทราบว่าต้องการติดต่อด้วย |
|
|
- ในขณะเดียวกันก็จะตรวจสอบขา DSR ว่าอุปกรณ์พร้อมหรือไม่ |
|
|
|
|
RTS แสดงสภาวะพอร์ตว่าต้องการส่งข้อมูล
,CTS ตรวจสอบว่าพอร์ตที่ติดต่ออยู่ ต้องการส่งข้อมูลหรือไม่ |
|
|
- เมื่อต้องการส่งข้อมูลขา RTS จะ ON และจะส่งข้อมูลออกที่ขา TXD
เมื่อส่งเสร็จก็จะ OFF |
|
|
- ในขณะเดียวกันก็จะตรวจสอบขา CTS ว่าอุปกรณ์ต้องการที่จะส่งข้อมูลหรือไม่ |
|
GND ขา ground |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ระดับสัญญาณของ RS232 |
|
|
|
|
|
ระดับสัญญาณของ RS232C และระดับสํญญาณของ TTL |
|
|
|
|
|
- สัญญาณรบกวนที่เกิดขึ้น ในสายนำสํญญาณ มักจะมีแรงดันเป็นบวก เมื่อเทียบกับกราวน์
- เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวนนี้ จึงออกแบบแรงดัน ของโลจิก "1" เป็นลบ คืออยู่ในช่วง
-3V ถึง -15V
ส่วนแรงดัน ของโลจิก "0" อยู่ในช่วง +3V ถึง +15V
- และเหตุที่ ระดับสัญญาณ ของ RS232 อยู่ในช่วง +15V ถึง -15V ก็เพื่อให้ต่อสายสัญญาณไปได้ไกลขึ้น
- ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องมีวงจรเปลี่ยนระดับแรงดันของ RS232 มาเป็นระดับแรงดันของ
TTL
|
|
|
|
|
|
อัตราการส่งข้อมูล (Baud rate) |
|
|
- คือความเร็วของการรับ-ส่งข้อมูล เป็นจำนวนบิทต่อวินาทีเช่น 300, 1,200,
2,400, 4,800 , 9,600 ,14,400 ,19,200, 38,400 ,56,000 เป็นต้น |
|
|
- การเลือกอัตราการส่งข้อมูลขึ้นอยู่กับ ชนิดของสายสัญญาณ, ระยะทาง,และปริมาณสัญญาณรบกวน |
|
|
|
|
|
รูปแบบการสื่อสารแบบอนุกรม |
|
|
มีด้วยกันอยู่ 2 แบบ คือแบบซิงโครนัส (Synchronous) และแบบอะซิงโครนัส(Asynchronous) |
|
|
|
|
|
- การสื่อสารแบบซิงโครนัส (Synchronous)
|
|
|
-การรับส่งข้อมูล จะมีสัญญาณนาฬิกา ซึ่งเป็นตัวกำหนด จังหวะเวลา การส่งข้อมูล
ร่วมอยู่ด้วยอีกเส้นหนึ่ง ใช้คู่กับสัญญาณข้อมูล ตัวอย่างเช่น การส่งสัญญาณจากคีย์บอร์ด
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
- การสื่อสารแบบอะซิงโครนัส (Asynchronous)
|
|
|
- การรับส่งข้อมูล โดยที่ไม่จำเป็นต้อง มีสัญญาณนาฬิกา ร่วมด้วย แต่จะใช้ให้ตัวส่ง
และตัวรับ มีอัตราส่งข้อมูล ที่เท่ากัน |
|
|
รูปแบบข้อมูลแบบอะซิงโครนัส ประกอบด้วย 4 ส่วนคือ |
|
|
|
|
|
1 |
บิตเริ่มต้น (Start bit) มีขนาด1 บิต |
|
2 |
บิตข้อมูล (Data) มีขนาด 5,6,7 หรือ 8 บิต |
|
3 |
บิตตรวจสอบพาริตี้ (Parity bit) มีขนาด 1 บิตหรือไม่มี |
|
4 |
บิตหยุด (Stop bit) มีขนาด 1, 1.5, 2 บิต |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
- เมื่อไม่มีการส่งข้อมูล ขา data จะมีสถานะเป็นโลจิก "1" หรือ สถานะหยุดรอ
(Waiting stage) |
|
|
- เมื่อเริ่มต้นส่งข้อมูลจะให้ขา data เป็นโลจิก "0" เป็นจำนวน 1 บิต เรียกว่าบิตเริ่มต้น
(Start bit) |
|
|
- จากนั้นก็จะเริ่มต้นส่งข้อมูล โดยส่งบิตต่ำไปก่อน (LSB) |
|
|
- แล้วตามด้วยพาริตี้บิต (จะมีหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับการติดตั้งค่า ของทั้งสองฝ่าย) |
|
|
- สุดท้ายตามด้วยโลจิก "1" อย่างน้อย 1 บิต ( มีขนาด 1, 1.5, หรือ 2 บิต)
เพื่อแสดงว่าสิ้นสุดข้อมูล |
|
|
|
|
|
การรับและส่งข้อมูลแบบอนุกรมยังแบ่งออกเป็นลักษณะการใช้งานได้
3 แบบคือ |
|
|
|
|
|
|
1). |
แบบซิมเพลกซ์ (Simplex) เป็นการส่ง หรือรับข้อมูล
แบบทิศทางเดียว เท่านั้น |
|
|
2). |
แบบฮาล์ฟดูเพลกซ์ (Half Duplex) เป็นการส่งและรับข้อมูลแบบสลับกัน
|
|
|
|
คือเมื่อด้านหนึ่งส่ง อีกด้านหนึ่ง เป็นฝ่ายรับ สลับกัน ไม่สามารถรับ-ส่งในเวลาเดียวกันได้
|
|
|
3). |
แบบฟลูดูเพลกซ์ (Full Duplex) สามารถรับ-ส่งข้อมูลในเวลาเดียวกันได้ |
|
|
|
|
|
|
|
ศมิทธิ์
เอมสมบัติ |
|